ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เหตุการณ์นี้พิมพ์ครั้งแรกในเฟสบุ๊กส่วนตัว มีเพื่อนเข้ามาอ่านและคอมเม้นท์หลายคน รวมถึงโบว์ น้องที่เคยทำงานด้วยกันที่โรงแรมพระนครนอนเล่น น้องส่งข้อความส่วนตัวแนะนำให้ทำเพจท่องเที่ยว อีกทั้งบอกว่า “สำนวนการเขียนกับประสบการณ์ที่เจอมันน่าอ่านดีนะ” ทรายรู้สึกขอบคุณ และประทับใจในความใส่ใจของน้อง เพราะประโยคสั้นๆในวันนั้น เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ทรายได้บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือที่คุณอ่านอยู่นี้

เรื่องก็มีอยู่ว่า…

ทรายพาลูกค้าไปทัวร์อยุธยาแต่ละครั้ง ไปเช้า เย็นกลับ ไปแต่สถานที่เดิมๆ ไม่มีโอกาสหาความรู้เพิ่มเติมและเที่ยวอยุธยาได้ทั่ว สัปดาห์ที่แล้วกลับบ้านที่กรุงเทพ เลยวางแผนพาตัวเองเที่ยว (ไม่ได้ทำจ๊อบออร์เดอร์ อิอิ คนที่ทำอาชีพมัคคุเทศก์รู้จักดี) จองตั๋วรถไฟ เชียงใหม่-อยุธยา (โทร ๑๖๙๐) นอนตู้เลดี้ สบายมีแต่สาวๆ ถ้าเป็นสาวชั้นสูง ชอบอากาศเย็น ชอบปีนป่าย แนะนำเตียงบน แต่ทรายเป็นสาวเรียบร้อย เหมาะกับเตียงล่าง จ่ายมากกว่านิดหน่อย แต่ได้หน้าต่างส่วนตัว เตียงล่างนอนอุ่นกว่าเพราะเตียงบนจะใกล้ช่องแอร์และแสงไฟลอดม่านเข้ามาแยงตา ตื่นมาจะได้หมีแพนด้า ๑ตัว นะเออ

รถไฟออกจากสถานีเชียงใหม่ ๖โมงเย็น มาถึงสถานีอยุธยา ประมาณ ตี๕ครึ่ง (ตามตารางเวลา ถึงสถานีอยุธยา ตี๔ ๕๘นาที)

นั่งรถกบหน้าสถานี (ราคานักท่องเที่ยว คนละ๕๐บาท) ไปส่งที่โฮสเทลใกล้กับวัดมหาธาตุ ฝากสัมภาระ แล้วเดินไปกินโจ๊กที่ตลาดเจ้าพรหม เดินเล่นตลาดสด มีของขายละลานตามาก เกือบ๘โมงก็เดินกลับไปที่พัก เช่าจักรยาน (วันละ ๕๐บาท ต่อคัน ต่อคน)

แผนของวันนี้คือ พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา และไปดูกรุที่วัดราชบูรณะ

ทรายเริ่มเที่ยวต่างจังหวัดเมื่อตอนอยู่มัธยม๑ เพราะจับพลัดจับผลูไปเข้าชมรมท่องเที่ยว อยุธยาเป็นจังหวัดแรกที่ไปเที่ยว (ไม่นับราชบุรีซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่) แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาวัดราชบูรณะ ทั้งๆที่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆเลย ทรายแสดงบัตรมัคคุเทศก์แก่เจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม (ยิ้มกรุ้มกริ่มดีใจ)

เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีกรุอยู่ ๓ชั้น แต่อนุญาตให้เข้าชมได้เพียงกรุชั้น๑ และชั้น๒ ส่วนชั้น๓ ชั้นล่างสุดกำลังปิดปรับปรุง

ทรายเริ่มเดินสำรวจรอบๆวัด

เดินมาถึงบริเวณพระปรางค์ซึ่งกำลังบูรณะ ก็ได้ยินเสียงคล้ายๆใครกำลังขีดเขียน มองตามเสียงขึ้นไปบนพระปรางค์ เห็นชาวต่างชาติ ผู้หญิงวัยรุ่น ๓คน ยืนหันหลังอยู่บนนั่งร้านรอบๆพระปรางค์ จากประสบการณ์อันน้อยนิด ทำให้เข้าใจว่าเค้ากำลังขีดเขียน แบบที่เคยเห็นคนไทยรักการเขียนบางคนชอบเขียนบนกำแพง (ฉันรักเธอ, มาถึงแล้ว, พ่อทุกสถาบัน… อะไรประมาณนี้)

ตอนนั้นสมองประมวลผลเร็วมาก ขาก็เดินฉับๆ ขึ้นไปบนพระปรางค์ ใจก็หวั่นนิดนิด สูงก็สูง สามรุมหนึ่งจะสู้เค้าได้ไหมหนอ ไม่ต้องกลัว ที่นี่ประเทศไทย เลือดรักชาติพลุ่งพล่าน คล้ายจะออกศึก… เป็นงัยเป็นกัน ขอรู้ ขอดูให้เห็นกับตา

ทรายเดินผ่านส่วนที่ติดป้ายไว้ว่า “ห้ามเข้า เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น” เดินเข้าไปจนถึงจุดที่ ชาวต่างชาติ ๓คนนั้นยืนอยู่ ทรายพยายามทำหน้าแบบจริงจัง กำลังจะตั้งคำถามอย่างเต็มที่… แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดแทรกขึ้นมา

ชาวต่างชาติ: คุณเข้ามาทำอะไรบริเวณนี้

ทราย: ฉันต่างหากที่ต้องถาม ว่าคุณมาทำอะไรบนพระปรางค์

ชาวต่างชาติ: พื้นที่ส่วนนี้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น พวกเรากำลังทำงานกันอยู่ (ในมือกำลังถือเกรียง)

ทราย: โอ้ว (คาดไม่ถึง) ขอโทษค่ะ ฉันเข้าใจผิด ฉันเป็นมัคคุเทศก์ คิดว่าพวกคุณกำลังขีดเขียนทำลายสมบัติของประเทศไทย

ชาวต่างชาติ: พวกเรามาจากประเทศเยอรมันนี เป็นเจ้าหน้าที่จากยูเนสโก ถูกมอบหมายให้มาทำการบูรณะที่วัดนี้ ขอบคุณมากที่คุณช่วยดูแลเอาใจใส่ มีนักท่องเที่ยวหลายคนเดินหลงเข้ามา แต่ไม่เคยมีใครถามพวกเราว่ากำลังทำอะไร พวกเราก็คิดว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวเช่นกัน (พูดติดตลก)

ทราย: คุณก็แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยว (รู้สึกหน้าแตก แต่มีความสุข ตัวเบาหวิวเลย)

ชาวต่างชาติ: อากาศประเทศไทยร้อน พวกเราจึงต้องแต่งตัวแบบนี้ (หัวเราะพร้อมแสดงบัตรพนักงานของยูเนสโก)

ณ เวลานั้น ความสงสัยถูกแทนที่ด้วยความประทับใจ :)

*ยูเนสโก คือ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (อังกฤษ: United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือ UNESCO

ออกสื่อ: