แก้วตาดวงใจ
อังคาร 28 เมษายน 2563
เหตุเกิดที่ทำงาน ขณะที่พ่อกำลังใช้เครื่องตัดหญ้า มีวัตถุ (พ่อบอกว่าเป็นหิน) กระเด็นเข้าตา และพ่อบอกว่าหลับตาทัน
ตอนเย็นหลังเลิกงาน พ่อไปหาตั๊กตามปกติ ตั๊กสังเกตุเห็นตาพ่อแดงๆ จึงถามอาการ พ่อเล่าเหตุการณ์แต่บอกไม่เป็นไร ด้วยความเป็นห่วงตั๊กจึงพาไปซื้อยาหยอดตา
พุธ 29 เมษายน 2563
ตอนเช้าพ่อโทรหาตั๊ก บอกว่ามองไม่เห็น ให้พาไปโรงพยาบาลหน่อย พอไปถึงโรงพยาบาล หมอตรวจตาพ่อ ผลออกมาว่าลูกตาแตก แต่ยังทำอะไรไม่ได้ หมอใหญ่ให้ตรวจเชื้อโควิดก่อน พ่อจึงได้นอนห้องปลอดเชื้อที่ตึกเพชรรัตน์ น้องซัน หลานชายอายุ 15 นอนเฝ้าพ่อคืนนี้ (แต่ก็ไม่ได้นอน… เพราะกลัวผี) เที่ยงคืนผลโควิดออกมาพ่อไม่มีเชื้อ หมอจะให้ผ่าตัดพรุ่งนี้ตอนเช้า
ในรูป พ่อยังไม่ได้ผ่าตัด แค่ปิดตาไว้ป้องกันการสัมผัส
พฤหัสบดี 30 เมษายน 2563
ทรายไม่ได้เข้าไปที่โรงพยาบาล ยังหวั่นใจเชื้อโควิด กลัวจะเอาเชื้อโรคไปติดพ่อด้วย รวมทั้งแม่โทรบอกว่ายังไม่ต้องมา เพราะพยาบาลให้เยี่ยมแค่คนเดียว และได้เพียง 5นาที แม่เล่าว่าให้ตั้มเข้าไปเยี่ยม แต่สักพักพยาบาลก็เรียกแม่เข้าไปให้กำลังใจด้วย พ่อเข้าห้องผ่าตัดตอน 9 โมง กว่าจะออกมาประมาณบ่าย 2 ผลการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี
ศุกร์ 1 พฤษภาคม 2563
แม่โทรบอกให้เข้ามาที่โรงพยาบาล มีเรื่องจะปรึกษา ทรายร้อนใจจึงให้แม่พูดทางโทรศัพท์ก่อนว่าเรื่องอะไร แม่บอกว่าหมอใหญ่แค่ตรวจตาและประเมินความน่าจะเป็นในการผ่า แต่เพราะมีวัตถุอยู่ลึกเข้าไปในตาดำทำให้ผ่าไม่ได้ หมอแนะนำให้เอาลูกตาด้านซ้ายออก เกรงว่าถ้าปล่อยไว้จะติดเชื้อและอาจถึงแก่ชีวิตได้ แม่อยากให้ทรายมาให้กำลังใจพ่อหน่อย
บ่ายโมงกำลังขึ้นรถไฟฟ้าไปหาพ่อ แม่โทรมาบอกว่าไม่ต้องมาแล้ว พ่อโอเคแล้ว พ่อตัดสินใจเซ็นต์ยินยอมให้ผ่าแล้ว พรุ่งนี้หมอนัด 8 โมงเช้า ทรายจึงชวนแม่ไปให้กำลังใจพ่อก่อนเข้าห้องผ่าตัด
หลังจากวางหูโทรศัพท์จากแม่ ทรายลงจากรถไฟ แวะเข้าเซ็นทรัลเวสท์เกท หาที่เงียบๆแล้วโทรหาพ่อ
ทราย: พ่อ เป็นยังไงบ้าง
พ่อ: สบายดี (น้ำเสียงฟังมีกำลังใจ)
ทราย: เมื่อกี้น้องทรายอยู่บนรถไฟ กำลังจะไปหาพ่อ แต่แม่บอกไม่ต้องมาแล้ว
พ่อ: ไม่ต้องมา เดี๋ยวติดโควิด
ทราย: ตั้งชั่วโมงกว่า จะไปถึงโรงพยาบาล น้องทรายก็กลัวเอาเชื้อโรคไปติดพ่อด้วย
สู้ สู้นะพ่อ เจ็บนิดเดียว ดูอย่างในหลวงสิ ท่านประสบอุบัติเหตุเสียตาข้างขวาตอนท่านอายุ 20 ท่านใช้ดวงตาข้างเดียวทำงานมากว่า 60 ปี
พ่อ: เรามันต่ำต้อย อย่าไปเทียบกับท่าน… ใกล้จะวันเกิดแล้ว (ไม่นึกว่าพ่อจะพูดคำนี้)
ทราย: วันเกิด ก็จะได้เป็นคนใหม่ไงพ่อ อะไรที่ผ่านมาก็ให้มันแล้วไป พ่อยังมีน้องทราย มีแม่ มีตั้ม มีตั๊ก
พ่อ: พ่อทำให้ลูกลูกลำบาก
ทราย: พ่อห้ามคิดทำอะไรบ้าๆนะ อย่าคิดสั้นนะ
พ่อ: ไม่ทำหรอก (เสียงคล้ายหัวเราะ) ยังเหลือตาอีกลูก น้องทรายไม่ต้องมาหรอก หายแล้วพ่อไปหาเอง
ทราย: น้องทรายรักพ่อนะ ต้องผ่าตัด พ่อพักผ่อนมากๆ เจอกันพรุ่งนี้พ่อ น้องทรายจะไปหา สวัสดีจ้ะ
เป็นการสนทนาผ่านหน้ากาก อาจจะพูดไม่ค่อยได้ยิน ฟังไม่ค่อยชัด แต่ความรู้สึกมันชัดอยู่ในใจ มันคือความรัก
เสาร์ 2 พฤษภาคม 2563
หลายปีที่ผ่านมามีเวลาไปหาพ่อได้ แต่ด้วยทิฐิและความน้อยใจทรายก็เลี่ยงที่จะไม่ไป แต่ตอนนี้มีเวลาเพียง 5 นาทีที่จะได้เจอพ่อ…
ตื่นตี 5 ขึ้นรถไฟขบวนแรก 6 โมง ลงสถานีเตาปูน
แล้วต่อ Taxi มาถึงโรงพยาบาล 7 โมง แม่ยืนรอที่ป้ายรถเมล์ เดินไปที่ตึกมหาวชิราวุธพร้อมกัน ขึ้นไปชั้น 6 หอผู้ป่วยจักษุ หมอย้ายพ่อมาที่ห้องรวมหลังจากตรวจไม่พบเชื้อโควิด แต่ในห้องมีคนไข้แค่เพียง 2 คน เดินเข้าประตูทางขวาก็จะเจอพ่อนอนอยู่เตียงแรก
ทรายเข้าไปหาพ่อ พยาบาลเพิ่งหยอดยาเสร็จพอดี
ทราย: นอนหลับสบายไหม
พ่อ: ไม่ค่อยได้นอน ถูกปลุกหยอดตาทุกชั่วโมง
ทราย: ถ่ายบ้างไหม
พ่อ: เพิ่งถ่ายเมื่อเช้า
พ่อดูเพลียๆ ทรายเลยไปเรียกแม่เข้ามาให้กำลังใจพ่อบ้าง หมอแจ้งว่าจะผ่า 8 โมงเช้า แต่กว่าจะเข้าห้องผ่าตัด ประมาณ 9 โมง พ่อนั่งบนรถเข็น โดยมีบุรุษพยาบาลพาพ่อไปที่ตึกที่จะทำการผ่าตัด ทรายและแม่ได้เดินไปส่งพ่อถึงหน้าห้อง ห้องผ่าตัดยังใหม่และสะอาด ทำให้ทรายรู้สึกมั่นใจในการผ่าตัด
บ่ายโมงครึ่ง บุรุษพยาบาลเข็นเตียงพ่อกลับมาที่ห้อง มีหมอผู้หญิงเดินข้างๆมาด้วย พ่อรู้สึกตัวแล้วหลังจากฤทธิ์ยาสลบแต่ยังดูสลึมสลือ ที่ต้นแขนข้างขวาพันผ้าวัดความดัน ที่ตาข้างซ้ายของพ่อถูกปิดด้วยผ้าพันแผลสีขาว และมีเลือดซึมนิดๆ
ทรายโทรบอกตั๊กว่าพ่อกลับมาแล้ว ตั๊กมาถึงพร้อมกับเป้ที่เตรียมของใช้ส่วนตัวของพ่อมาให้ที่โรงพยาบาล รู้สึกขอบคุณน้องสาวคนนี้ที่คอยรับภาระดูแลพ่อมาตลอด
วันนี้มีคนมาเยี่ยมพ่อมากมาย ทั้งญาติ เจ้านาย และเพื่อนๆ ทั้งมาด้วยตัวเองและเสียงตามสาย หน้าตาพ่อดูแช่มชื่นขึ้นจากกำลังใจล้นหลาม
หมอให้พ่อพักฟื้นที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อดูอาการ ถ้าไม่มีติดเชื้อจะให้กลับบ้าน แล้วค่อยนัดมาใส่ลูกตาปลอมภายหลัง
อาทิตย์ 3 พฤษภาคม 2563
ตอนเช้าตั๊กไปเยี่ยมพ่อ ตอนบ่ายตั้มไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้พ่อ
วันนี้ทรายกับแม่อยู่บ้าน จัดบ้านที่บางใหญ่เพราะอยากให้พ่อมาพักฟื้นที่นี่จะพักผ่อนได้มากกว่าพักที่แฟลตข้าราชการ
พ่อโทรมาหาบอกว่าอยากกินอะไรร้อนๆ ทรายคิดว่าจะทำโจ๊กหมูสับไปให้พรุ่งนี้เช้า
นี่เป็นการทำโจ๊กครั้งแรก ถ้าทำตอนเช้ากลัวจะผิดพลาด เลยเตรียมตั้งแต่ตอนเย็น ซอยขิงแช่น้ำเกลือแล้วเก็บใส่ตู้เย็น
ต้มหมูสับ ทำไข่ลวกออนเซ็น 2 ฟอง หลังผ่าตัดต้องเสริมโปรตีนกันหน่อย แล้วต้มข้าวกล้อง ใช้เวลาเคี่ยวหลายชั่วโมงกว่าจะนิ่มเพราะต้มจากข้าวสุก คิดว่าจะทำเร็วกว่าต้มจากปลายข้าว คิดถูกแล้วที่ไม่ทำตอนเช้า
จันทร์ 4 พฤษภาคม 2563
ตื่นเช้ามาอุ่นโจ๊ก ซอยขึ้นฉ่ายและต้นหอม ทำให้แม่กิน 1 ถ้วย บอกแม่ว่าเป็นหนูทดลอง
แล้วตักใส่ถุงเอาไว้ในกระเป๋าเก็บความร้อนให้พ่อ พวกเราออกจากบ้าน 10 โมงครึ่ง มีทราย แม่ เกด น้องแซน และตั้ม ขับรถไปถึงโรงพยาบาลก่อนเที่ยง ขึ้นไปถึงชั้น 6 เป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะลงน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่พื้นพอดี เราจึงได้อนุโลมเข้าไปเยี่ยมพ่อนานกว่า 5 นาที แม่บอกพ่อว่าลูกสาวตื่นมาทำโจ๊กแต่เช้า ทรายเตรียมโจ๊กให้พ่อ
พ่อ: ใส่หมูนุ่มด้วย มีพริกไหม
ทราย: ถามแม่แล้ว แม่บอกช่วงนี้อย่ากินเผ็ด แต่น้องทรายเอาพริกไทยมา
ทรายยื่นซองพริกไทยให้ พ่อเทไปกว่าครึ่งซอง แม่บอกว่าปกติ เรื่องนี้ทรายจำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว พอพ่อกินเสร็จก็ถอดเสื้อเพราะเหงื่อออกจากความเผ็ดของพริกไทยและความร้อนของขิง
นี่เป็นการทำอาหารให้พ่อกินครั้งแรกในชีวิต ดีใจที่เห็นพ่อกินโจ๊กที่ตั้งใจทำให้อย่างเอร็ดอร่อย โจ๊กในชามว่างเปล่า แต่หัวใจมันพองโตเหลือเกิน ลูกมีความสุขที่เห็นพ่อกินอิ่มนอนหลับ
แล้วตั๊กก็มาสระผมให้พ่อ เป็นอีกภาพประทับใจ รู้สึกขอบคุณน้องสาวเสมอที่เป็นที่พึ่งของพ่อและแม่ในยามที่ทรายอยู่ไกล
สักพักอาหารโรงพยาบาลก็มาส่ง วันนี้เป็นผัดซีอิ๊ว เจอโจ๊กทราย ผัดซีอิ๊วชิดซ้ายตกขอบเวทีไปเลยจ้า
อังคาร 5 พฤษภาคม 2563
วันนี้พ่อตัดไหมที่ตาแล้ว เพื่อนๆที่ทำงานมาให้กำลังใจร่วม 10 คน พยาบาลเห็นคนมาเยี่ยมเยอะจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปที่ห้องผู้ป่วย แต่ให้พ่อออกมาหาแทน
ตอนเย็นทรายแช่ถั่วเขียว พรุ่งนี้ตั้งใจจะต้มถั่วเขียวให้พ่อ
พุธ 6 พฤษภาคม 2563
ตื่นเช้ามาล้างถั่วเขียว หั่นขิงเป็นแว่นบางๆ ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ถั่วเขียวต้มพอสุก ปรุงรสหวานอ่อนๆด้วยน้ำตาลทรายแดง และเกลือนิดหน่อย
วันนี้ทรายติดทำเอกสารส่งสถานทูต ฝากแม่เอาถั่วเขียวต้มน้ำขิงร้อนๆไปให้พ่อ